7 สิ่งที่นักลงทุนควรรู้เกี่ยวกับ Bear Market
เมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2565 นี้ S&P 500 ได้ก้าวเข้าสู่ ‘Bear Market’ อย่างเป็นทางการ Bear Market นั้นหมายถึงช่วงเวลาที่ตลาดซบเซาและราคาหุ้นตกลงเกิน 20% จากราคาสูงสุดในช่วงนั้น
แต่อย่างไรก็ดี ประวัติศาสตร์อาจเป็นครูที่ดีที่จะบอกว่า Bear Market ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนระยะยาว ที่มีการกระจายความเสี่ยงการลงทุน รวมไปถึงมีวินัยในการลงทุนที่ชัดเจน ก็สามารถที่จะผ่านพ้นมรสุมไปได้
การกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนนั้นมีการลงทุนในหลายรูปแบบ Crowdfunding คือ การลงทุนในอีกรูปแบบหนึ่งที่อยากแนะนำในสภาวะ Bear Market และดอกเบี้ยขาขึ้นที่มาพร้อมกับเงินเฟ้อ
แน่นอนว่า การลงทุนในหุ้นกู้ Crowdfunding ที่ให้ผลตอบแทนแบบกำหนดชัดเจน ย่อมเป็นทางเลือกที่น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก ในสภาวะที่ตลาดเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเช่นนี้
รู้อย่างนี้แล้ว เรามาดู 7 สิ่งที่นักลงทุนควรรู้เกี่ยวกับ Bear Market กันดีกว่า
1. Bear Market เป็นช่วงที่เหมาะกับการซื้อที่สุด ✅
Bear Market ถือเป็นช่วงเวลาแห่งโอกาส ที่นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นคุณภาพดี ในช่วงลดราคา เพราะในช่วงที่หุ้นลงทั้งตลาด แม้กระทั่งหุ้นคุณภาพสูงก็ไม่รอด ตกเป็นเหยื่อโดนดึงลงมาพร้อมๆกัน แต่ถ้าเราเชื่อว่า วันหนึ่งตลาดจะฟื้นกลับมาที่เดิม นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่ดี ที่จะเข้าไปซื้อหุ้นคุณภาพดี ราคาไม่แพง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากความสามารถในการทำรายได้ในระยะยาว และกระแสเงินสด
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 S&P 500 นั้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 15% ภายในระยะเวลา 12 เดือนหลังภาวะ Bear Market (ข้อมูลจาก LPL Financial) แน่นอนว่า ผลดำเนินงานในอดีต ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดผลงานในอนาคต
2. Bear Market อาจไม่ได้อยู่นานขนาดนั้น ✅
อีกสิ่งหนึ่งที่นักลงทุนควรจำไว้ก็คือ Bear Market นั้นไม่ได้จะอยู่กับเราตลอดไป ความจริงแล้ว หากเราลองมองดู S&P 500 ย้อนกลับไปตั้งแต่ ค.ศ. 1950 เราจะพบว่า Bear Market ส่วนมากมีอายุแค่ประมาณ 11 เดือนเท่านั้น
ความจริงแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1982 มีแค่ Bear Market อีกสองครั้งเท่านั้น ที่กินเวลานานกว่าวิกฤติเศรษฐกิจ ปัจจุบันนี้ นั่นคือ dot-com bubble และ วิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อปี 2008 เท่านั้น
ดังนั้น ถึงแม้จะฟังดูน่ากลัวที่จะเห็น หุ้นต่างๆ ราคาตกลงมาถึง 20% แต่จากสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากวิกฤติครั้งก่อนๆ ก็คือ มันจะไม่ลงไปมากกว่านั้นมากเท่าไหร่
3. S&P 500 จะราคาลงประมาณ 29.8% ในช่วง Bear Market ✅
ข้อมูลจาก LPL Financial แสดงให้เห็นว่า ตลอดระยะเวลากว่า 70ปีที่ผ่านมา Bear Market โดยเฉลี่ยแล้ว จะส่งผลให้ราคาหุ้นลงราวๆ 29.8% จากจุดสูงสุดล่าสุด ดังนั้น นักลงทุนหลายคนอาจมองว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการช้อนซื้อ
4. Bear Market ที่เกิดขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้นจะแย่กว่ากันเยอะ ✅
ทราบไหมครับว่า เราสามารถแบ่ง Bear Market ออกได้เป็นสองประเภทหลักๆ นั่นคือ Bear Market ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย และ Bear Market ที่เกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
เราจะพบว่า Bear Market ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้ S&P 500 ตกลงที่ประมาณ 23.8% เท่านั้น
ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2022 เราจะพบว่า สหรัฐอเมริกาประกาศตัวเลข GDP ลดลงเพียง 1.4% เท่านั้น ดังนั้น นักลงทุนอาจยังมีความหวังว่าตลาดจะกลับมาได้เร็ว
5. Bear Market เป็นส่วนหนึ่ง ของวัฎจักรตลาดที่สุขภาพดี ✅
Bear Market แม้จะน่ากลัว แต่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในวัฎจักรของตลาดหุ้น ดังนั้นทั้ง Bull Market และ Bear Market จึงถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด
ทั้งนี้ก็เพราะว่า ตลาดหุ้นนั้นได้รับผลกระทบจาก วัฎจักรความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ถ้าลองมอง S&P 500 ตลอด 30 ปีให้หลัง เราจะพบว่า อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี จะอยู่ที่ 8%-13.6% มาเสมอ แม้จะมีช่วงที่มีความผันผวนสูงให้เห็นอยู่บ้างก็ตาม
แต่ความผันผวนที่มีให้เห็นในระยะสั้น และระยะกลาง ก็เกิดจากวัฎจักรความเชื่อมั่นของนักลงทุน เพราะราคาหุ้นนั้นขึ้นอยู่กับ Supply และ Demand ของตลาด ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจึงเป็นปัจจัยใหญ่ที่จะส่งผลถึงสภาวะตลาด
ทำให้นึกย้อนไปถึงคำพูดของกูรูนักลงทุนอย่าง Warren Buffett ที่กล่าวไว้ว่า “จงกลัวในขณะที่คนอื่นกำลังโลภ และจงโลภในขณะที่คนอื่นกำลังกลัว”
6. จงระวัง Bear Market Rally ✅
แม้โดยทั่วไปแล้ว จะเป็นความคิดที่ดีสำหรับนักลงทุนที่จะเข้าไปซื้อหุ้นคุณภาพดี ราคาถูก ในช่วงตลาดหมี แต่นักลงทุนระยะสั้นก็ควรระวังสิ่งที่เรียกว่า Bear Market Rally ซึ่งหมายถึง ช่วงสั้นๆ ที่ราคาหุ้นดีดตัวสูงขึ้นกะทันหัน
ข้อมูลจาก Strategas Research Partners แสดงให้เห็นว่า ตลอด 70 ปีหลัง Bear Market Rally โดยเฉลี่ยแล้ว ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นถึง 15% และมีอายุเฉลี่ยประมาณ 2 เดือน
ใครที่รอจังหวะช้อน ก็ต้องดูดีดีว่า นี่คือการฟื้นตัวจริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่ Bear Market Rally
7. หุ้นจะฟื้นตัวเร็วกว่าเศรษฐกิจ ✅
ตลาดหุ้นถือเป็นดัชนีชี้วัดสภาวะเศรษฐกิจที่ดีที่สุด ดังนั้นหากตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา สามารถพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ เราอาจได้เห็นมูลค่าตลาดถูกกำหนดโดยตัวเลขเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย
ถึงแม้ว่าเงินเฟ้อจะเป็นศัตรูหมายเลข 1 และ อัตราดอกเบี้ยก็ถูกปรับสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่นักลงทุนไม่จำเป็นที่จะรอเศรษฐกิจฟื้นตัวก่อนที่จะเข้าไปช้อนซื้อหุ้นที่สนใจ
เหตุผลที่ตลาดหุ้นถือเป็นดัชนีชี้วัดสภาวะเศรษฐกิจที่ดีที่สุด ก็เพราะว่า ราคาหุ้นนั้นแสดงให้เห็นถึงความคาดหวังในอนาคต มากกว่า สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันนั่นเอง
การลงทุนในช่วง Bear Market นั้นมีโอกาสซ่อนอยู่ในวิกฤติ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาโอกาสในการทำกำไร
แต่สำหรับ นักลงทุนท่านใดที่กำลังมองหาทางเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอในทุกสภาวะตลาด Siam Validus ขอแนะนำ หุ้นกู้ Crowdfunding ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถลงทุนในระยะสั้นกว่า 1 ปี และให้ผลตอบแทนสูงถึง 4-15% ต่อปี
สำหรับนักลงทุนที่สนใจเริ่มต้นลงทุนใน Crowdfunding สามารถลงทะเบียนได้ที่ https://siamvalidus.co.th/ หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ โทร 02-026-6574 กด 2 และ ir@siamvalidus.co.th
“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนจำเป็นต้องทำความเข้าใจลักษณะผลิตภัณฑ์ เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน”
Source: U.S. News & World Report
* คำเตือน: การลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงเป็นการลงทุนสำหรับผู้ลงทุนที่มีความรู้และเข้าใจในด้านความเสี่ยง และสามารถในการตัดสินใจลงทุนด้วยตนเอง ซึ่งเหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนของตนเอง โดยการลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิง ผู้ลงทุนควรพิจารณาเป็นการลงทุนจนครบกำหนดอายุของหุ้นกู้และไม่มีสภาพคล่อง รวมทั้ง หุ้นกู้คราวด์ฟันดิงเป็นการลงทุนที่ไม่ได้รับประกันความเสี่ยงจากบุคคลที่สาม และไม่ได้รับความคุ้มครองจากหน่วยงานใดๆ ของรัฐ ซึ่งผู้ลงทุนอาจจะสูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้
ดังนั้น ผู้ลงทุนจำเป็นต้องทำความเข้าใจลักษณะของหุ้นกู้คราวด์ฟันดิง ศึกษารายละเอียดในหนังสือชี้ชวน เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และสามารถรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ ก่อนตัดสินใจลงทุน